Interviews • 03 Mar 2023
บทสนทนา 15 นาทีกับ Ricardo Guadalupe ซีอีโอแห่ง Hublot
The Hour Glass ได้มีโอกาสนั่งสนทนากับ Ricardo Guadalupe ซีอีโอ Hublot ถึงเทรนด์ของอุตสาหกรรมนาฬิกา ในประเด็นว่าด้วยการระบาดของโควิด-19 ได้เปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ของแบรนด์ไปอย่างไร รวมถึงเสน่ห์อันยืนยงของแนวคิด “ศิลปะแห่งการผสมผสาน” (Art of Fusion) อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์
ดูจากตัวเลขการส่งออกสำหรับปี 2565 ที่ปรับตัวสูงขึ้น นับเป็นปีที่มีสถิติเติบโตอย่างมากในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อะไรเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตนั้น?
การส่งออกนาฬิกาสวิสทำได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ แต่สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและสำหรับ Hublot เองนั้น เราได้แซงหน้าอัตราการเติบโตของการส่งออกนาฬิกาสวิสไปแล้ว นั่นหมายความว่า เราทำได้ดียิ่งกว่าในภูมิภาคนี้ ซึ่งอาจเกิดจากเหตุผลที่ว่า เราได้ร่วมทำงานอันยอดเยี่ยมกับ The Hour Glass พาร์ทเนอร์ของเราในพื้นที่นี้ของโลก เวลานี้เรามีแสตนด์อโลนบูติก 2 แห่งในสิงคโปร์ บูติก 2 แห่งในมาเลเซีย และอีก 2 แห่งในไทย รวมถึงในเวียดนามอีก 3 แห่ง ความจริงก็คือ เราได้สร้างแบรนด์อย่างแข็งแกร่ง ผมคิดว่า นี่คือปัจจัยหนึ่ง และแน่นอนว่า ผู้บริโภคในภูมิภาคนี้มีกำลังซื้ออย่างแท้จริง พวกเขาตั้งใจซื้อนาฬิกาลักซ์ชูรีจริง ๆ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย รวมถึงสภาพเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ก็เป็นไปในทางที่ดีเช่นกัน ดังนั้น จึงเป็นเพราะปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้รวมกันจึงมีส่วนทำให้เราเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง
นอกเหนือจากปัจจัยทางเศรษฐกิจแล้ว ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ในตลาดนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง โดยเฉพาะในภูมิภาคนี้
เป็นเรื่องวิวัฒนาการด้านรสนิยม และจากคนรุ่นใหม่ เราได้เห็นกระแสของผู้บริโภคกลุ่มใหม่ โดยเฉพาะผู้บริโภคอายุน้อย ที่เข้ามาซื้อสินค้าลักซ์ชูรี โดยเจาะจงมาเป็นนาฬิกาลักซ์ชูรี ผมคิดว่านี่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากทีเดียว
สามปีที่ผ่านมาการระบาดของโควิด-19 ได้เปลี่ยนกลยุทธ์และแนวทางของ Hublot ไปหรือไม่
เปลี่ยนแน่นอนครับ โควิดฯ ได้เปลี่ยนแปลงการเข้าถึงลูกค้าของเรา และดิจิทัลก็เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการนี้ เรามีหน้าร้าน ซึ่งเป็นสแตนด์อโลนบูติกและจุดขายต่าง ๆ ก็จริง แต่การติดต่อกับลูกค้าเกิดขึ้นเร็วกว่านั้นมากในมุมมองทางดิจิทัล นั่นหมายความว่า เราสามารถพูดคุยกับลูกค้าของเราได้ ทั้งลูกค้าจริงและคนที่มีแนวโน้มจะมาเป็นลูกค้าของเราผ่านช่องทางเว็บไซต์ ซึ่งเป็นช่องทางหลัก และเรายังสื่อสารผ่านทางโซเชียลมีเดียได้ด้วยเช่นกัน เราได้เห็นว่าร้านบูติกของเรามีโลกดิจิทัลเป็นของตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ และติดต่อกับลูกค้าได้แม้แต่ในเวลาที่บูติกปิดทำการ หากใครมีปัญหาเรื่องนาฬิกา หรืออยากจะซื้อนาฬิกาสักเรือน เราก็ยังมีช่องทางติดต่อเหล่านี้ โลกดิจิทัลได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างแท้จริง และการเร่งไปสู่ความเป็นดิจิทัลก็เป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับการเติบโตของ Hublot ในช่วงโควิด-19
Hublot ได้เริ่มใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในบางตลาดบ้างแล้ว เรื่องนี้นับเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของคุณในการก้าวไปข้างหน้าหรือไม่ จะเป็นไปได้ไหมที่จะปรับไปใช้อีคอมเมิร์ซทั้งหมด
ไม่ครับ ผมไม่คิดแบบนั้น เพราะยังคงคิดเพื่อลูกค้าของเราอยู่ว่า เรากำลังขายผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ ลูกค้ายังอยากเห็น อยากสัมผัสสินค้าจริง แน่นอนว่า ยอดขายทางอีคอมเมิร์ซของเราก็ทำได้ดี แต่คิดเป็นเพียงเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมากจากยอดขายทั้งหมดของเรา แต่มันก็เชื่อมโยงกับแนวทาง Omni-channel เพื่อให้พูดคุยกับลูกค้าของเรา และผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าของเราผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มได้ เช่น มีคนเข้ามาชมเว็บไซต์ของเราหนึ่งล้านคนทุกเดือน คนส่วนใหญ่ในนั้นอาจติดต่อเข้ามาหาเราเป็นครั้งแรก แล้วเราก็อาจเปลี่ยนให้ส่วนหนึ่งในจำนวนนี้ให้เกิดเป็นยอดขายทางหน้าร้านได้ ดังนั้น ความสมดุลระหว่างดิจิทัลกับหน้าร้านจริงต้องมาถูกทาง ผมคิดว่า อีคอมเมิร์ซอาจจะเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ได้มาแทนทั้งหมด โดย 10% จากยอดขายของเรา [ที่เป็นการขายผ่านอีคอมเมิร์ซ] นับว่าประสบความสำเร็จอย่างมากแล้ว
หนึ่งในพันธมิตรของคุณเมื่อปีที่แล้วคือ Big Bang Unico Ledger ซึ่งนับเป็นความร่วมมือที่เซอร์ไพรส์มาก คุณมองหาพันธมิตรใหม่ของคุณจากตรงไหน
เราต้องการความแตกต่างอยู่เสมอ ต้องเป็นคนแรกที่ทำ และฉีกแนวจากทุกอย่างที่เราทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเป็นพันธมิตรและพูดคุยกันในเรื่องคริปโตเคอร์เรนซี เราต้องการเป็นผู้นำ Hublot เป็นแบรนด์น้องใหม่ เราก่อตั้งมาเพียง 42 ปี เราต้องเป็นผู้นำในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในโลกใบนี้ ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีเป็นโลกที่คนหนุ่มสาวทั่วไปเข้าไปมีส่วนร่วม อย่างที่เราเห็นว่าธุรกิจแบบนี้มีขึ้นมีลง แต่ก็ยังน่าสนใจอยู่ดี ผมคิดว่าเป็นเรื่องของอนาคตด้วย เราเห็นคนเข้ามาเล่นในธุรกิจนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมก็เข้ามาสู่โลกนี้ การเป็นพันธมิตรกับ Ledger ทำให้เราได้ประโยชน์ตรงนี้ และเราก็สร้างสรรค์นาฬิกาที่คุณใช้สกุลเงินคริปโตเคอร์เรนซีซื้อได้เท่านั้น ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล ดังนั้นไอเดียของการเป็นพันธมิตรมักจะคิดขึ้นมาพร้อมสิ่งพิเศษเสมอ
คุณเห็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีต่าง ๆ อย่างบล็อกเชน มารวมอยู่ในตัวผลิตภัณฑ์ของคุณได้อย่างไร
เราได้เริ่มทำ E-warranty ซึ่งเราจะไม่ออกใบรับประกันที่เป็นเอกสารจับต้องได้อีกต่อไปแล้ว E-warranty หมายความว่าเราสามารถระบุถึงนาฬิกาทุกเรือนที่ออกวางตลาดได้ โดยระบุได้ถึงวัสดุ เวลาที่ผลิต และเอกลักษณ์ของชิ้นงาน การลงทะเบียนใบรับประกันทำได้ผ่านแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือ และข้อมูลทั้งหมดจะจัดเก็บไว้ในบล็อกเชนที่เป็นส่วนหนึ่งของ LVMH group เราเป็นแบรนด์แรกที่ใช้เทคโนโลยีนี้ในการระบุถึงนาฬิกาของเรา ซึ่งคุณมั่นใจได้เลยว่า นี่คือนาฬิกาของแท้ เทคโนโลยีนี้ยอดเยี่ยมมาก เพราะติดตามได้ตั้งแต่การผลิตไปจนตลอดอายุการใช้งานของนาฬิกา บอกได้ถึงวันที่ขายนาฬิกา วันที่ซ่อม และวันที่ขายต่อ ซึ่งเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างมากเมื่อมองจากมุมนี้
การระบุถึงผลิตภัณฑ์และการตรวจสอบย้อนกลับของวัสดุในระดับนี้ถือว่าล้ำยุคมาก และความยั่งยืนยังเป็นส่วนสำคัญในกลยุทธ์ระยะยาวของ Hublot ด้วย คุณช่วยอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายความยั่งยืนของ Hublot ได้ไหม
แน่นอนว่า ความยั่งยืนเป็นเรื่องสำคัญมาก นาฬิกาจักรกลเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนที่สุดในโลก เพราะมันใช้งานได้ตลอดไป และเป็นสิ่งที่พิเศษอยู่แล้วในตัว สิ่งที่เราทำคือ เรามองหาหาว่า จุดไหนที่เราจะทำให้ยั่งยืนได้ ตอนนี้เรากำลังสร้างพันธมิตรใหม่ที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน เพื่อเชื่อมโยงกับระบบนิเวศมากขึ้น เชื่อมโยงกับการปกป้องโลกมากขึ้น นี่คือเหตุผลที่คุณเห็นเราได้ร่วมมือกับ Polar Pod ในแอนตาร์กติกา และ SORAI ซึ่งนี่คือแง่มุมหนึ่ง
ส่วนอีกมุมหนึ่งคือ ความยั่งยืนในเรื่องของผลิตภัณฑ์ และสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ ตัวอย่างเช่น เรากำลังจะเปลี่ยนกล่องที่ใช้ กล่องนาฬิกาใหม่จะมาจากหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยใช้ไม้จากป่าในยุโรป ดังนั้นการขนส่งจึงน้อยลง และมันจะอยู่ในกระบวนการขายของเราด้วย สิ่งที่เกี่ยวข้องกับถุงช้อปปิ้งของเราในตอนนี้ก็สามารถรีไซเคิลได้ 100% แล้ว บูติกของเราในปัจจุบันก็ใช้วัสดุที่มีความยั่งยืน และในเร็ว ๆ นี้ โรงานของเราก็จะใช้วัสดุแบบนี้เช่นเดียวกัน โรงงานใหม่ของเราที่กำลังสร้างอยู่จะมีการชดเชยคาร์บอน 100% ภายในปี 2025 ดังนั้นจึงมีหลายแง่มุมของกิจกรรมของเรา ที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน
พันธมิตรของ Hublot มีตั้งแต่ในด้านความยั่งยืน กีฬา ศิลปะ และไลฟ์สไตล์ การโคจรมาพบกันที่น่าจดจำกับแบรนด์พันธมิตร Ambassador และ Friend of Hublot ที่คุณมีในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีอะไรบ้าง
อย่างที่คุณรู้ว่า ฟุตบอลเป็นเสาหลักสำคัญในการเป็นพันธมิตรของเรา สำหรับตัวผมเองก็เป็นแฟนฟุตบอล การได้พบกับ Pele เป็นโมเมนต์ที่ดีมากเหลือเกินในชีวิตของผม ตอนที่ผมยังเด็ก ผมฝันที่จะได้เจอกับเขาและผมก็ติดโปสเตอร์รูปเขาไว้ที่ผนัง และยังได้อยู่ในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกที่กาตาร์ แอฟริกาใต้ และบราซิลด้วย… ผมโชคดีมากที่ได้มีประสบการณ์เหล่านี้
ศาสตร์การปรุงอาหารก็เป็นอีกหนึ่งในความหลงใหลของผม ดังนั้นผมจึงโชคดีที่มีเชฟระดับมิชลินสตาร์ 3 ดาวของเรา ซึ่งเป็นบุคคลน่าทึ่งที่มีพรสวรรค์และความหลงใหลมากมาย เพียงได้ร่วมสร้างสรรค์มื้อค่ำแบบ four-hand dinner ในกรุงปารีส [กับ Ann-Sophie Pic และ Yannick Alléno] ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่น่าอัศจรรย์แล้ว แน่นอนว่าในฐานะ CEO ของ Hublot ผมโชคดีจริง ๆ เพราะผมได้มีประสบการณ์อันน่าทึ่งเหล่านี้เป็นการส่วนตัวด้วย
คุณพอจะบอกได้ไหมว่า Hublot ตัดสินใจเลือกพันธมิตรอย่างไร?
ก็ต้องดูก่อนครับ ผมเปิดรับไอเดียดี ๆ เสมอ บางครั้งก็อาจมาจากคนของเรา บางครั้งก็มาจากการพบปะผู้คนตลอดทั้งชีวิต ไม่ได้มีวิธีการเป็นขั้นตอนแน่นอนสำหรับการเป็นพันธมิตรกับเรา โลกของเราเป็นโลกที่ไม่มีเหตุผล โลกของความหรูหรา คือ โลกแห่งความฝัน ยกตัวอย่างเช่น พันธมิตรด้านศิลปะ ก็มาจากการจัดอีเวนต์ในไมอามี และเทศกาล Art Basel เมื่อสิบกว่าปีก่อน โดยเริ่มต้นจากศิลปินที่เป็นที่รู้จักในท้องถิ่น แล้วก็มาทีละขั้นละตอน ผมเห็นว่าศิลปะเป็นสิ่งที่น่าสนใจในฐานะของแพลตฟอร์มการสื่อสาร นี่เป็นเหตุผลที่เราเริ่มขยายพันธมิตรในด้านศิลปะกับ Sang Bleu ในปี 2016 และ Orlinski ในปี 2017 ล่าสุด เราได้ต้อนรับ Takeshi Murakami เข้ามาด้วยซึ่งอาจจะเป็นจุดสูงสุดของการเป็นพันธมิตรของเรา การได้พบกับ Murakami ในเดือนกรกฎาคมที่สตูดิโอและห้องทำงานศิลป์ของเขานั้นน่าประทับใจมากทีเดียว
แนวคิดนี้คือการสร้างจักรวาลของ Hublot ที่คุณมีทั้งกีฬาอย่างฟุตบอล และมีผู้คนอย่าง Kylian Mbappe, Usain Bolt มีศิลปะ มีศาสตร์การปรุงอาหาร มีความยั่งยืน ทุกแง่มุมเหล่านั้น และสุดท้ายแล้ว คนที่ซื้อ Hublot ก็รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้
ฟังดูเป็นศิลปะแห่งการผสมผสาน (Art of Fusion) อย่างมาก สโลแกนนี้เริ่มเกิดขึ้นเมื่อ 18 ปีที่แล้ว และยังคงเกี่ยวข้องกับ Hublot ในปัจจุบัน คุณบอกได้ไหมว่า อะไรมีส่วนทำให้สโลแกนนี้ยืนยงมาได้
แนวคิดของ “Art of Fusion” เป็นสิ่งที่ยังคงโมเดิร์น และยังคงทันสมัยอยู่มาก หมายความว่าเราสามารถสร้างสรรค์นาฬิกาที่เคารพต่ออุตสากรรมนาฬิกาของเราที่มีอายุ 400 ปี และผสมผสานเข้ากับนวัตกรรมได้ เช่น เราใช้วัสดุปัจจุบันที่ไม่ได้มีอยู่ในช่วงเวลา 100-200 ปีที่แล้ว Hublot เป็นบริษัทแรกที่ใช้ยางในนาฬิกา ย้อนไปในปี 1980 นับว่าเป็นการผสมผสานแรกเลยก็ว่าได้ แม้ว่าเราไม่รู้จักศิลปะแห่งการผสมผสานในเวลานั้นเลยก็ตาม ตอนนี้ทุกแบรนด์ต่างก็ใช้สายนาฬิกายาง ซึ่งก็เหมือนกันกับเซรามิก
เราต้องการเป็นผู้นำในศิลปะแห่งการผสมผสาน ด้วยเหตุนี้เราจำเป็นต้องทำการวิจัยพัฒนาอย่างมาก เพื่อให้เราสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ วัสดุใหม่ได้อยู่เสมอ สำหรับกลไก เราก็มีการผลิตแบบใหม่ที่สร้างสรรค์จักรกลชนิดใหม่ของกลไก องค์ประกอบสำคัญสำหรับ Hublot คือการทำให้ผู้บริโภคประหลาดใจเสมอ ด้วยนวัตกรรมและดีไซน์ใหม่ ๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องของหลักสามประการของศิลปะแห่งการผสมผสานเช่นกัน นั่นคือ วัสดุ กลไก และการออกแบบ
นักสะสม Hublot มีความแตกต่างจากแบรนด์อื่นอย่างไร
พวกเขาเป็นคนหนุ่มสาว ฐานลูกค้าของเราอายุน้อยจริง ๆ ลูกค้าหลักของเราอายุอยู่ระหว่าง 25-45 ปี โดยทั่วไปเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยตัวเอง คือคนที่เรียนหนังสือ สร้างธุรกิจของตัวเอง หรือมีการงานที่ดีและประสบความสำเร็จในอาชีพของตัวเอง มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง โดย 28% ของยอดขายของเราเป็นลูกค้าผู้หญิง นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าเราพัฒนาได้ และเรากำลังพยายามทำให้ดีขึ้น อาจเป็นเพราะผู้คนที่อายุยังน้อย พวกเขาไม่มีรสนิยม “มาตรฐาน” พวกเขาต้องการสิ่งที่แตกต่างออกไป นั่นคือลูกค้าส่วนใหญ่ของเรา